ปี พ.ศ.2568 นับเป็นหลักชัยที่สำคัญในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งในระดับรัฐต่อรัฐ โดย “ราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรนอร์เวย์” ที่ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครบ 120 ปี ผ่านความร่วมมือด้านการเกษตร การศึกษา สิทธิมนุษยชน พาณิชยกรรม ตลอดจนด้านนวัตกรรม โดยรากฐานความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นเป็นเวลากว่าศตวรรษนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในวโรกาสที่พระองค์เสด็จประพาสต้นไปยังทวีปยุโรป รวมถึงนอร์เวย์ในปี พ.ศ.2450
ขณะที่ความสัมพันธ์ในระดับสังคมต่อสังคม ก็มีความผูกพันและแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ดังปรากฏได้จากบทบาทของ “เทเลนอร์” องค์กรเอกชนสัญชาตินอร์เวย์ที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง สานสัมพันธ์ชาวยุโรปเหนือและเอเชียเข้าด้วยกัน ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ล้ำสมัย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและสังคมที่เข้มแข็ง
และในโอกาสสำคัญที่เทเลนอร์ได้ดำเนินงานในประเทศไทยครบ 25 ปีเต็ม True Blog ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ เบเนดิกเต้ ชิลเบร็ด ฟาสเมอร์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม เทเลนอร์ ถึงเรื่องราวแห่งมิตรภาพและความร่วมมือ และยังได้ถกถามถึงการเติบโตในอนาคตที่มีนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ

“แม้ว่าไทยและนอร์เวย์จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก ถึงกระนั้น เราทั้งสองต่างมีหลายสิ่งหลายอย่างที่มีร่วมกันอย่างเหลือเชื่อ” เบเนดิกเต้ ชิลเบร็ด ฟาสเมอร์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเทเลนอร์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์ระหว่างการเยือนกรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
เธอขยายความว่า มิติทางสังคม ประชาชนของราชอาณาจักรทั้งสองยึดถือคุณค่าทางสังคมที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน สำหรับชาวนอร์เวย์ เรามีสิ่งที่เรียกว่า Dugnad (ดุ๊กนัด) อันหมายถึง การกระทำร่วมของสมาชิกในสังคมเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ซึ่งคล้ายคลึงกับคำว่า “น้ำใจ” ที่บ่งบอกถึงตัวตนและลักษณะสำคัญของคนไทย อันหมายรวมถึงความใจกว้าง ความมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ฐานแนวคิดทางสังคมที่มีร่วมกันดังกล่าว มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อความประพฤติและการปฏิบัติของคนในสังคม จนเกิดเป็นปทัสถานด้านการทำงานที่ยึดถือ “การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ” เป็นหัวใจ โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์โลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น และนี่เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงลักษณะร่วมแห่ง “สำนึกในความปรารถนาดีต่อกัน” ของคนในชาติทั้งสอง
ขณะที่มิติการพัฒนา ไทยและนอร์เวย์ต่างโอบรับและก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลด้วยลักษณะที่น่าสนใจ จนนำมาสู่สถานะความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาทางดิจิทัลในภูมิภาคของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล การพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย อัตราการใช้เทคโนโลยีที่รวดเร็ว ตลอดจนการริเริ่มโครงการเมืองอัจฉริยะต่างๆ (smart city) สะท้อนถึงความพยายามอันยิ่งยวด ท่ามกลางการแข่งขันในสนามเศรษฐกิจดิจิทัล
ทั้งนี้ จากรายงานดัชนีเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (DESI) โดยคณะกรรมาธิการยุโรป บ่งชี้ถึงความก้าวหน้าด้านดิจิทัลของนอร์เวย์ โดยรั้ง 2 อันดับแรกของการพัฒนาดิจิทัลด้านต่างๆ เช่น การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคธุรกิจและการบริการสาธารณะ ขณะเดียวกัน รายงาน e-Conomy SEA 2024 จัดทำโดย Google เทมาเส็ก และ Bain & Company ระบุว่า ไทยมีขนาดเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยคำนวณจากบริการและสินค้าที่มีการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์
เบเนดิกเต้ กล่าวเสริมว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่เทเลนอร์ดำเนินธุรกิจในไทย เกิดการพัฒนาทางดิจิทัลหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ อัตราการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การวางโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีความก้าวหน้า รวมถึงความรู้เท่าทันในเทคโนโลยี AI

“เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยความมุ่งมั่นที่ร่วมกันต่อแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการเติบโตที่ยั่งยืน จะมีส่วนช่วยให้ไทยเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่ง ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือต่างๆ สืบไป” เธอ เน้นย้ำ
จับมือสู่ความเป็นผู้นำ
ยอน ออมุนด์ เรฟ-ฮอว์ก ผู้บริหารสูงสุดแห่งเทเลนอร์ เอเชีย ฉายภาพเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของไทยที่ผ่านมา โดยเขาพิจารณาและแบ่งออกเป็น 3 ช่วง โดยช่วงแรกเป็นระยะแห่งการทำให้บริการการสื่อสาร “ใช้งานได้” ในมิติของพื้นที่และ “เข้าถึงได้” ด้วยมิติด้านราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริการเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นสินค้าที่หรูหราด้วยราคาที่สูงลิ่วในช่วงเริ่มต้น แต่ปัจจุบัน ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเข้าถึงบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคด้วยอัตราการใช้งานที่ 95.5% หรือคิดเป็น 71 ล้านคน ขณะที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคิดเป็น 89.5% (อ้างอิงจากการสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ.2567) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแพร่หลายของคนไทยเอื้อให้เกิดโอกาสในภาคธุรกิจดิจิทัลอย่างมาก

ช่วงที่ 2 เป็นช่วงที่ตลาดโมบายเริ่มอิ่มตัว เป้าหมายต่อไปจึงเป็นการทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลมีความทันสมัยมากขึ้น (digital modernization) โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้ข้อได้เปรียบจากความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในระยะแรก มาพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตลอดจนแนะนำให้คนไทยได้เริ่มชิมลางนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นอย่างเทคโนโลยี automation และบริการแบบ touch-free
และปัจจุบัน ระยะที่ 3 คือห้วงเวลาที่เรากำลังเดินหน้าอยู่นี้ โดยเทเลนอร์มองเห็นโอกาสในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำ อาศัยความได้เปรียบจากขนาด ท่ามกลางการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI, IoT คลาวด์คอมพิวติ้ง และ 5G อันร้อนแรง อันเห็นได้จากการที่เราตัดสินใจควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค จนเกิดเป็นทรูคอร์ปอเรชั่น ในปี 2566 โดยมีพันธกิจสำคัญเพื่อสร้าง “เทคคอมปะนี” แนวหน้าของภูมิภาค ขับเคลื่อนผ่านนวัตกรรมในบริการดิจิทัล ตลอดจนสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของไทยอย่างราบรื่น
“เราเห็นคุณค่าระยะยาวในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรูคอร์ปอเรชั่นเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญอย่างมากในพอร์ตการลงทุนของเทเลนอร์ มากไปกว่านั้น การที่ทรูอยู่ในสถานะที่เป็นผู้ให้บริการที่ถือครองแบนด์วิธคลื่นความถี่มากที่สุดในไทย นั่นทำให้ทรูยิ่งมีความสำคัญต่อลูกค้าและภาคธุรกิจมากขึ้น ทั้งจากความสามารถในการขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น บริการอินเทอร์เน็ตที่เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงบริการอื่นๆ ที่พร้อมต่อยอดจากเทคโนโลยี 5G” ยอน เน้น

ทั้งนี้ นับตั้งแต่กระบวนการควบรวมกิจการเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ภารกิจลำดับแรกๆ มุ่งไปที่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ การรับรู้ผลประโยชน์จากการซินเนอร์ยี และส่งต่อการเติบโต ซึ่งทรูได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จด้วยตัวเลขทางการเงินที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง EBITDA เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพลิกทำกำไรต่อเนื่อง 2 ไตรมาสติด และจากทิศทางบวกของธุรกิจ ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์ในส่วนที่เทเลนอร์ถือในทรูมีมูลค่าสูงขึ้นราว 45 พันล้านบาท นอกจากนี้ การที่ทรูได้รับคัดเลือกให้เป็น “ดีลแห่งปี” โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา ถือเป็นการตอกย้ำผลกระทบเชิงบวกที่มีต่อตลาดทุนไทยอักด้วย
“ในพอร์ตการลงทุนของเรา (เทเลนอร์) ทรูถือเป็นสินทรัพย์ที่ได้เพิ่มมูลค่าส่วนต่างได้มากที่สุดสำหรับการลงทุนระยะกลาง และหากเรายังคงเดินหน้ากลยุทธ์นี้ต่อไป เราคาดว่า ทรูจะอยู่ในสถานะที่สามารถจ่ายปันผลได้ภายในสิ้นปีนี้” เขากล่าว
Truly Beyond Core
ผู้บริหารสูงสุดแห่งเทเลนอร์ เอเชีย อธิบายต่อว่า ในฐานะพาร์ทเนอร์ร่วมกับซีพีกรุ๊ปที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรเชิงรุก เทเลนอร์จะคงมุ่งมั่นนำประสบการณ์และอินไซต์ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมาสู่ทรู รวมถึงการเปิดประตูสู่เทคโนโลยีระดับโลกผ่านพาร์ทเนอร์ชั้นนำ ซึ่งพันธกิจที่ให้ความสำคัญในลำดับแรกๆ คือ การพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานสูงสุดผ่านการทำหน้าที่กรรมการตามหลักบรรษัทภิบาล โดยมีคณะผู้บริหารด้านการลงทุนและผู้เชี่ยวชาญในอุตฯ ช่วยสนับสนุน
“ประสบการณ์การขยายขอบเขตธุรกิจให้เกินกว่าบริการการสื่อสาร การปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนผ่าน และการทำธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ทั้ง 3 อย่างนี้จะช่วยให้ทรูเริ่มก้าวเข้าสู่เฟสถัดไปของการเปลี่ยนผ่านได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ยอน กล่าว
เทเลนอร์ ถือเป็นผู้ให้บริการโทรคมเพียงรายเดียวในพื้นที่ยุโรปเหนือที่ดำเนินงานด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยล่าสุด ยังผลให้เกิดการขยายบริการอื่นๆ ต่อยอดจากบริการโทรคมได้ โดยการดำเนินงานของเทเลนอร์ในพื้นที่เศรษฐกิจนำสมัยข้างต้นมีตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) ในระดับสูง ขณะที่อัตรากำไรขยายตัวขึ้น จากการเปลี่ยนผ่านธุรกิจโดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ
วันนี้ ทรูคอร์ปอเรชั่น ถือเป็นผู้เล่นในสนามโทรคมที่มีความพร้อมรอบด้านที่สุด ด้วยจำนวนแบนด์วิธคลื่นความถี่ที่กว้างที่สุดในไทย และนี่จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพการบริการสูงสุด ไม่ว่าจะในพื้นที่เขตเมือง ชานเมือง หรือพื้นที่ห่างไกลก็ตาม
และสำหรับการก้าวสู่ยุค AI ความรู้พื้นฐานในเทคโนโลยีดังกล่าวถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้ไทยแข่งขันในสนามแห่งความท้าทายนี้ได้ ด้วยงานวิจัยและศักยภาพทางเทคโนโลยีที่เทเลนอร์สั่งสมมายาวนาน เราจะเดินหน้าความร่วมมือและสนับสนุนประเทศไทยผ่านการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ทั้งประสบการณ์ในเทคโนโลยี IoT กว่า 2 ทศวรรษ ความร่วมมือกับ NVIDIA ในการพัฒนา AI Factory ตลอดจนการค้นคว้าสำรวจความเป็นไปได้อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI, 6G และความมั่นคงทางไซเบอร์

และล่าสุด เทเลนอร์ยังได้สนับสนุนทรูพัฒนาการประยุกต์ใช้ AI ภายใต้กรอบแนวคิด Responsible AI โดยความร่วมมือกับ GSMA ซึ่งทรูถือเป็นองค์กรเอกชนไทยองค์กรแรกที่รับเอากรอบแนวคิดดังกล่าวมาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน นอกจากนี้ เทเลนอร์ยังช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษากับทรูในประเด็นการกำหนดเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศภายในปี 2573 ซึ่งได้รับการอนุมัติโดย SBTi เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
“สำหรับอนาคตต่อจากนี้ เป้าหมายที่สำคัญของเราคือการส่งมอบคุณค่าที่เรามีให้กับทรูอย่างต่อเนื่องในฐานะผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ตื่นตัว ซึ่งในห้วงเวลาที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางดิจิทัลถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เราจะทำหน้าที่เปิดประตูสู่องค์ความรู้ระดับโลก เข้าถึงยูสเคส แนวปฏิบัติ และความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์แนวหน้าของโลก เพิ่มขีดความสามารถในระดับนานาชาติแก่ทรูและสังคมไทย” ยอน กล่าวทิ้งท้าย