ทรู คอร์ปอเรชั่น ผสานพลังเครือข่ายทรู 5G และเทคโนโลยีดิจิทัล ส่ง Mobility Data Platform วิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนตัวของประชากรแบบเรียลไทม์ หนุนภาครัฐช่วยผู้ประสบภัย น้ำท่วมภาคใต้ ฟื้นฟูพื้นที่ได้ตรงจุด รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

01 ธันวาคม 2568

Nattakorn Plubprasit

Nattakorn Plubprasit


กรุงเทพฯ 1 ธันวาคม 2568 — ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยภาคใต้อย่างต่อเนื่อง  นำศักยภาพผู้นำโทรคมนาคม–เทคโนโลยี ผนวกพลังเครือข่ายทรู 5G หลังรวมเครือข่าย “One Network” เสร็จสมบูรณ์ ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมระบบความปลอดภัยไซเบอร์ ไม่เพียงทุ่มเทรักษาการสื่อสารให้ต่อเนื่องอย่างดีที่สุด แต่ยังยกระดับภารกิจด้านช่วยเหลือด้วย Mobility Data Platform จากทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เพื่อสนับสนุนหน่วยงานรัฐในการเฝ้าระวังและจัดการสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้แบบเรียลไทม์ โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลมหาศาลที่สามารถระบุพื้นที่เสี่ยงได้รวดเร็วกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถเสริมการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้านการวางแผนฟื้นฟูพื้นที่ เพื่อให้พี่น้องชาวภาคใต้กลับมาดำเนินชีวิตและประกอบธุรกิจได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

 

ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป  วิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนย้ายของประชากรบนเครือข่ายทรู 5G ผ่าน Mobility Data Platform ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 และพบรูปแบบ “การอพยพผิดปกติ” ในหลายพื้นที่  เป็นสัญญาณเตือนระดับน้ำกำลังทวีความรุนแรง อาทิ การตรวจพบจำนวนประชากรในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่ลดลงสูงสุดถึง 68% รองลงมาคือ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล และอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ขณะที่อำเภอหาดใหญ่มีการเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่มากที่สุด ข้อมูลดังกล่าวเหล่านี้แสดงให้เห็นผลกระทบในวงกว้างและความจำเป็นในการระดมทีมสนับสนุนเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน

 

โดยข้อมูลเชิงลึกในช่วงวันที่ 23–28 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นระยะที่สถานการณ์รุนแรงที่สุด ยังชี้ให้เห็นแนวโน้มสำคัญหลายประการ ทั้งความหนาแน่นของการใช้งานเครือข่ายที่พุ่งสูงสุดในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 การเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่เสี่ยงในอำเภอหาดใหญ่–ควนโดน–นาทวี ที่ลดลงกว่า 40–60% เมื่อเทียบกับภาวะปกติ ขณะเดียวกัน จังหวัดนครศรีธรรมราช–ยะลา–ปัตตานี กลายเป็น Safe Zones ตามธรรมชาติ รองรับประชากรจำนวนมาก ระบบข้อมูลยังเผยเส้นทางอพยพหลักจากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออก รวมถึงการเปลี่ยนสถานะของหลายอำเภอจากพื้นที่ออกสู่พื้นที่กลับเข้าพักอาศัยเมื่อระดับน้ำเริ่มลดลง ข้อมูลนี้ช่วยให้หน่วยงานสามารถมองเห็นจังหวะวิกฤติและวางแผนการสนับสนุนได้แม่นยำยิ่งขึ้น

 

นายเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า “ข้อมูลจาก Mobility Data Platform ทำให้เรา ‘เห็นสิ่งที่ดวงตาอาจมองไม่เห็นได้ทันที’ ทั้งความหนาแน่นของประชากร  การเคลื่อนตัวที่ผิดปกติ รวมถึงเส้นทางการอพยพ  ข้อมูลเรียลไทม์เหล่านี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในการตัดสินใจเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนได้ตรงจุดตรงพื้นที่อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน  การนำความสามารถของเครือข่ายทรู 5G ตลอดจนข้อมูลการใช้งานบนเครือข่าย ภายใต้กรอบกฎหมายและความโปร่งใส ผนวกกับอัจฉริยภาพของเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นตัวอย่างของ Data Intelligence for Public Good ที่ทรูตั้งใจนำมาใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม ซึ่งทรูพร้อมประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่ต้องการใช้ข้อมูลรวมเชิงสถิติจาก Mobility Data Platform ซึ่งเป็นข้อมูลไม่ระบุตัวบุคคล รวมถึงร่วมวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ เพื่อให้การฟื้นฟูเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและตรงจุดที่สุด”

 

 

Mobility Data Platform ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลเชิงลึกหลายมิติ ตั้งแต่ ข้อมูลประชากรแบบรายชั่วโมง–รายวัน (Population Density Real-Time) ข้อมูลเชิงประชากร (Demographic Insight) อาทิ กลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ หรือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เสี่ยง ระบบแจ้งเตือนทันทีเมื่อพบความผิดปกติของจำนวนประชากร (Abnormal Movement Alert) และ ระบบ Before–During–After Comparison ที่ทำให้หน่วยงานมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ในแต่ละช่วงได้อย่างชัดเจน ช่วยให้การบริหารจัดการวิกฤติและวางแผนฟื้นฟูหลังน้ำลดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในสองระยะสำคัญ ได้แก่

  • ระยะช่วยเหลือและกู้ภัย (Rescue Phase) ระบุพื้นที่ที่ต้องการการช่วยเหลือเร่งด่วน วางเส้นทางลำเลียงสิ่งของ และจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเสี่ยง
  • ระยะฟื้นฟูหลังน้ำลด (Recovery Phase) ประเมินการกลับเข้าพื้นที่ของประชาชน สำรวจความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานประกอบการ เพื่อฟื้นฟูสู่ภาวะปกติได้เร็ว และมีประสิทธิภาพที่สุด

“การผสานพลังเครือข่ายอัจฉริยะ ข้อมูลคุณภาพสูงแบบเรียลไทม์ เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้เกิดข้อมูลเชิงลึกหลายมิติที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ นี่คือบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศและเพิ่มศักยภาพในการฟื้นฟูระยะยาว   ” นายเอกราช กล่าวสรุป

 


Related Content
View All