วิกฤตน้ำท่วมภาคใต้เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนและชีวิตผู้คน แต่ยังตัดขาดการสื่อสารในหลายพื้นที่ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ยังมีทีมงานด่านหน้าของทรูที่ทุ่มเททำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ไม่เพียงดูแลเครือข่าย แต่ยังทำให้ทุกสัญญาณยังสามารถเชื่อมต่อและสื่อสารกันได้ เพื่อให้ทุกคนสามารถติดต่อ รับข่าวสาร และส่งความห่วงใยถึงกันได้ในช่วงเวลาที่มีความหมายที่สุด
ต่อไปนี้คือ 3 เรื่องราวของทีมงานด่านหน้าของทรู ที่ทุ่มเททำงานด้วยหัวใจ อยู่เบื้องหลังภารกิจสำคัญครั้งนี้ ได้แก่ เสกศักดิ์ ช่อปลอด, สนอง หยูมุ่ย และ สุวิกรม แก้วสองเมือง ซึ่งเรื่องราวของพวกเขาสะท้อนให้เห็นถึงความหมายของการทำหน้าที่ด้วยหัวใจ โดยได้รับการยกย่องในพิธีมอบรางวัล “โครงการซีพีร้อยเรียงความดี 24 ชั่วโมง” ครั้งที่ 5 ในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ จากการเสี่ยงภัยลงพื้นที่เพื่อกู้คืนสัญญาณการสื่อสารให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
เรื่องราวนี้จึงไม่ได้เป็นเป๊นเพียงเรื่องการทำงานในยามวิกฤต แต่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของ “พลังความดี” ที่เกิดจากหัวใจของพนักงาน ที่พร้อมเคียงข้างผู้คนและสังคมแม้ในวันที่ลำบากที่สุด

ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยใจ แม้เป็นผู้ประสบภัย
เสกศักดิ์ ช่อปลอด Head of Regional Operation ผู้ดูแลโครงข่ายภาคใต้ของทรู คือหนึ่งในผู้ประสบภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ เขาติดอยู่ในบ้านของตัวเองถึง 6 วัน ตั้งแต่ 21-26 พฤศจิกายน 2568 สถานการณ์เวลานั้นคือน้ำท่วมมิดหลังคาบ้าน อาหารมีจำกัด ไม่มีไฟฟ้าใช้ ที่สำคัญคือ การสื่อสารถูกตัดขาดไปด้วย
“ตอนนั้นฝนตกหนักตลอด พอไฟฟ้าถูกตัด การสื่อสารก็ถูกตัดขาด ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ จะโทรบอกญาติ โทรปรึกษาหรือติดต่อใครไม่ได้เลย จุดนี้ทำให้ผมรู้จริงๆ ว่าการสื่อสารสำคัญมาก” เสกศักดิ์ เริ่มเล่าถึงเหตุการณ์

เมื่อฝนเริ่มซา เขาจึงตัดสินใจว่ายน้ำออกจากบ้านไปยังศูนย์พักพิงมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งพบว่ามีผู้ประสบภัยรวมตัวกันอยู่เกือบหนึ่งหมื่นคน “ผมได้เห็นว่า หลายคนอยากใช้มือถือโทรกลับบ้าน ติดต่อญาติ แต่บางคนแบตมือถือหมด มือถือหาย ซิมหาย บางคนมีซิมแต่ไม่มีเน็ตใช้ ในฐานะที่เราเป็นพนักงานทรู ก็คิดว่าเราน่าจะช่วยผู้ประสบภัยได้”
จากการเป็น ‘ผู้ประสบภัย’ เสกศักดิ์ตัดสินใจตั้ง ‘ศูนย์ช่วยเหลือ’ โดยประสานงานมายังบริษัท โดยทีมเน็ตเวิร์กของทรูรีบเข้ามาดูแลสัญญาณ พร้อมรวบรวมเพื่อนพนักงานทรูในศูนย์และพื้นที่ใกล้เคียง จัดตั้ง ‘บูททรู’ โดยให้บริการชาร์จแบตมือถือ โทรฟรี ใช้เน็ตฟรี และแจกซิมให้ผู้ที่ทำซิมหาย เพื่อให้ทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารกับครอบครัวได้อีกครั้ง

“ทุกคนในที่นี้คือผู้ประสบภัยเหมือนกันหมด เราเข้าใจดีว่าทุกคนอยากสื่อสารกับญาติและครอบครัว ในฐานะพนักงานของทรู ก็อยากมีส่วนช่วยประชาชนในด้านการสื่อสาร ซึ่งในเวลาวิกฤตมีความสำคัญอย่างมาก ผมต้องขอขอบคุณทีมงานทุกคนที่ได้มาร่วมกันทำงานนี้ ทุกคนล้วนทำด้วยใจจริงๆ” เสกศักดิ์ กล่าว
ทำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้ทุกการสื่อสารเชื่อมต่อกันได้
อีกด้านหนึ่งของวิกฤต คือทีมงานด่านหน้าที่ปกป้องชุมสายจากอุทกภัย เพื่อให้สัญญาณการสื่อสารใช้งานได้แม้ในวันที่น้ำท่วมสูงจนต้องมีการตัดไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัย เวลานั้นชุมสายหลายแห่งต้องพึ่งพาเครื่องปั่นไฟเพียงอย่างเดียว
สนอง หยูมุ่ย Head of Regional Network Rollout and Operation มองเห็นปัญหาใหญ่ในวันที่น้ำท่วมสูงจนเข้าไปในพื้นที่ไม่ได้ คือน้ำมันในเครื่องปั่นไฟกำลังจะหมด ซึ่งหากเครื่องปั่นไฟหยุดทำงาน หมายถึงระบบการสื่อสารจะหยุดทันที

“ช่วงวิกฤตที่สุดคือ วันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ระดับน้ำสูงขึ้นมากจนไฟฟ้าโดนตัด และเครื่องปั่นไฟของเรามีน้ำมันเชื้อเพลิงไม่พอ เราได้น้ำมันจากทหารมา แต่เส้นทางนำน้ำมันเข้าไปยากมากจากระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง” สนอง เล่าถึงความท้าทายในวันนั้น ที่มีทั้งข้อจำกัดของเวลาและการเข้าถึงพื้นที่
สุดท้าย เขาและทีมงานตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยนำน้ำมันจากเครื่องปั่นตัวที่ 2 รวมถึงน้ำมันที่เหลืออยู่ในรถกระบะที่จอดอยู่บริเวณชุมสาย มาเติมให้เครื่องปั่นไฟหลัก เพื่อประคองให้ระบบการสื่อสารทำงานต่อไปได้
“ผมและทีมงานทุกคนร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ชุมสายยังคงให้บริการได้ และประชาชนในพื้นที่ยังมีสัญญาณและอินเทอร์เน็ตใช้สื่อสารกันได้ เป็นความภูมิใจของทีมงานทุกคน”

ภารกิจรักษาสัญญาณ และชีวิต ท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วม
การนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าเติมให้เครื่องปั่นไฟของชุมสาย กลายเป็นหนึ่งในภารกิจที่ยากที่สุดในวิกฤตอุทกภัย ทีมงานด่านหน้าของทรูได้พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
สุวิกรม แก้วสองเมือง วิศวกรจากหน่วยงาน Wire & Wireless หนึ่งในผู้ที่ทำงานด่านหน้าในเวลานั้น เล่าถึงสถานการณ์ว่า “เราได้รับแจ้งว่าชุมสายได้รับผลกระทบจากการตัดไฟฟ้า เนื่องจากฝนตกหนัก ทำให้ระดับน้ำในพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ขณะที่น้ำมันสำรองเริ่มลดลงจนเข้าสู่ระดับวิกฤต แต่เส้นทางก็ยิ่งเข้าถึงยากขึ้นเรื่อยๆ จนเราต้องประสานขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย เพื่อนำทีมและน้ำมันเข้าไปยังชุมสายให้ได้”

เส้นทางที่คาดว่าจะเข้าถึงได้กลับเต็มไปด้วยอุปสรรค เพราะมีทั้งซากรถ กำแพง และสิ่งกีดขวางที่จมอยู่ใต้น้ำ ประกอบกับกระแสน้ำเชี่ยว ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยความเสี่ยง จนเรือขนาดเล็กที่เข้าไปเกือบล่ม อีกทั้งน้ำมันที่นำเข้าไปได้ในรอบแรกนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
ทีมงานจึงพยายามหาทางเข้าไปเติมน้ำมันเชื้อเพลิงที่ชุมสายอีกหลายครั้ง จนกระทั่งในคืนวันนั้น ได้รับการสนับสนุนจาก ทหาร มทบ.42 นำเรือท้องแบนและรถสูงเข้ามาช่วย แต่การเดินทางยากลำบากกว่าเดิม เพราะเวลากลางคืนไม่มีแสงไฟ
ระหว่างปฎิบัติภารกิจ สุวิกรม ได้พบผู้ประสบภัยที่ติดค้างอยู่กลางกระแสน้ำ จึงตัดสินใจเข้าช่วยเหลือทันที
“ตามเส้นทางที่เข้าไป เราได้พบกับผู้สูงอายุสองคนลอยคออยู่ในน้ำ และอีกสองชีวิตที่ติดอยู่บนหลังคา เราจึงช่วยพวกเขาออกมาก่อน และได้ช่วยประชาชนที่ติดค้างอีกกว่า 20 ชีวิตไปส่งที่ศูนย์พักพิง ม.อ. แล้วจึงรีบกลับมาทำภารกิจต่อ”
การทำงานที่ต้องแข่งขันกับเวลา ระดับน้ำ และระดับน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องปั่นไฟ มาพร้อมความมุ่งหวังเดียวคือ การรักษาการสัญญาณสื่อสารของ 7 จังหวัดภาคใต้ยังคงเชื่อมต่อกันได้
“ผมคิดแค่ว่า ยังมีอีกหลายชีวิตที่รอคอยความหวัง มีอีกหลายปลายสายที่รอติดต่อใครสักคน มีหลายชีวิตที่รอว่าครอบครัวของเขาจะปลอดภัยไหม ผมและทีมเป็นหนึ่งฟันเฟือง ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อความห่วงใยของทุกคน”

สุดท้าย ทีมงานสามารถทำภารกิจรักษาชุมสายได้สำเร็จ แต่การทำงานของพวกเขายังไม่หยุดเพียงเท่านั้น ทีมงานยังคงออกไปยังจุดต่างๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง
“เมื่อชุมสายของเราปลอดภัย สามารถให้บริการอย่างเต็มที่ ทีมของเราก็ออกไปกู้ไซต์ต่างๆ เพื่อเปิดบริการให้ประชาชนเข้ามาชาร์จแบตมือถือกับรถของเรา เมื่อเราได้ยินเขาคุยกับปลายสายว่า ปลอดภัยแล้วนะ ทำให้เราทุกคนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยครับ” สุวิกรม ทิ้งท้าย

